ประวัติ ของ เซเลีย โฮวาร์ด

ประวัติตอนต้น

เซเลียพบกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชครั้งแรกในการแข่งขันที่ประเทศอาร์เจนตินา โดยพระองค์พีระมีหม่อมอยู่แล้วหนึ่งคนคือหม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ทั้งสองสมรสกันมากว่า 11 ปีแล้ว แต่ด้วยความที่พระองค์พีระทรงโด่งดัง บุคลิกดี สามารถตรัสได้คล่องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และใช้พระชนม์ชีพอย่างเศรษฐี ทำให้สตรีมาหลงใหล หม่อมซิริลจึงตัดสินใจแยกกันอยู่ ทำให้ทั้งสองห่างกัน

เซเลียซึ่งมีรูปลักษณ์สวยงาม ได้คอยปรนนิบัติรับใช้พระองค์พีระขณะที่ทรงได้รับบาดเจ็บจากการแข่งรถ พระองค์พีระทรงพาเซเลียกลับมาอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับเธอและไม่ได้กลับไปหาหม่อมซิริล หม่อมซิริลจึงตัดสินใจหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมายใน พ.ศ. 2493 ทั้งที่ทั้งสองยังรักกัน แต่พระองค์พีระก็ไม่ทรงคิดที่จะสละเซเลียไปได้ พระองค์พีระและหม่อมซิริลจึงคงเหลือไว้แต่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น[3]

เสกสมรส

หลังจากพระองค์พีระทรงหย่ากับซิริล พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับเซเลียที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2494 มีการจัดงานเลี้ยง ณ สถานทูตไทยในปารีส โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์และหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยาร่วมงานด้วย แต่อย่างไรก็ตามพระองค์พีระก็ทรงระลึกถึงซิริลเสมอ[1] ทรงเป็นมิตรกับเพื่อนชายของซิริล แล้วพาหม่อมชลิตาไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับซิริล ไปไหนมาไหนกันสี่คน แต่ซิริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก และยังคงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิท

ปลาย พ.ศ. 2497 พระองค์พีระทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถอีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ที่มีสมรรถภาพที่ดีเกิดขึ้นกว่าเก่าก่อน จะแซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่าย หากจะลงทุนซื้อรถใหม่พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็ถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล ประกอบกับหม่อมชลิตาได้ให้กำเนิดพระโอรส คือหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ พระองค์พีระจึงตัดสินพระทัยอำลาชีวิตนักแข่ง ทรงพาครอบครัวกลับมาพำนักในเมืองไทยใน พ.ศ. 2499 ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกาเมื่อพระชันษา 42 ปี[3]

ชีวิตหลังการหย่า

แต่เมื่อหม่อมชลิตาเข้ามาพำนักในไทยได้ 11 วัน ก็บินไปฝรั่งเศส[4] จนในอีก 7 เดือนต่อมาพระองค์พีระจึงได้ทำการหย่ากับหม่อมชลิตาโดยตกลงกันว่า หม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์จะอยู่ภายใต้การดูแลของหม่อมชลิตาจนอายุครบ 21 ปี เนื่องจากก่อนหน้าที่มายังประเทศไทยพระองค์พีระได้ทรงพบปะกับสาลิกา กะลันตานนท์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวไทย ซึ่งทำให้หม่อมชลิตาหึงหวงเป็นอย่างมาก แต่สุดท้ายสาลิกา กะลันตานนท์ ก็กลายเป็นหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระไป โดยเสกสมรสกันในปี พ.ศ. 2500[3]

ส่วนพระโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชที่เกิดกับหม่อมชลิตาคือหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี[4] แต่บางแห่งก็กล่าวว่าเสียชีวิตเมื่อมีอายุ 21 ปี[3]

ในปี พ.ศ. 2560 หม่อมชลิตาในวัย 94 ปี ใช้ชีวิตบั้นปลาย ณ บ้านพักคนชราในบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา[5][6]